“มึงลงไปเลยนะไอ้บ้า จะลงดีๆหรือจะให้ถีบลง”
เสียงกระเป๋ารถเมล์ดังลั่น
เพราะว่ามีชายคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายกับนางรำ ใส่โจงกระเบนสีแดง สไบสีเหลืองทอง เดินเท้าเปล่า แต่งหน้าแต่งตา
ดูแล้วผิดแปลกไปจากผู้ชายธรรมดาทั่วไป ขึ้นมาบทรถพร้อมกับวิจารณ์การเมืองอย่างโจ่งแจ้ง
ทำให้เป็นที่รบกวนต่อผู้โดยสารคนอื่น และรบกวนสมาธิคนขับรถ
พอสิ้นเสียงของกะรเป๋ารถเมล์ ผู้ชายคนนั้นก็ถูกลากลงรถในทันที
พร้อมกับตะโกนต่อว่ากระเป๋ารถเมล์ว่า “เห้ยยย!! ทำไมทำอย่างนี้กับกูว๊ะ กูไม่ได้บ้านะเว่ย
กูรู้เรื่องการเมืองดีกว่ามึงอีก”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน ฉันได้มีโอกาสนั่งรถเมล์ เพื่อไปทำธุระแถวสยาม ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงที่การเมืองค่อนข้างวุ่นวาย ฉันนั่งรถมาได้ไม่นานก็ได้มีผู้ชายดังกล่าวขึ้นมาบนรถ
ตอนแรกทุกคนก็เกร็งว่าคนขับรถจะจอดรับเขามั๊ย ถ้าขึ้นมาแล้วเขาจะนั่งที่ไหน
เขาจะทำอะไรเรารึเปล่า แต่พอเขาขึ้นมาก็ปกติเหมือนคนทั่วไป
จนเขาเห็นป้ายเกี่ยวกับการเมือง เขาก็เริ่มวิจารณ์ต่างๆ
และพยายามจะถามความคิดเห็นจากผู้โดยสารคนอื่น
โดยเรื่องที่เขาพูดมันก็เป็นเรื่องที่ดี มีการเสนอข้อเท็จจริง
เสนอความคิดเห็นของตัวเอง มีการอ้างอิงจากบุคคลและแหล่งสื่อต่างๆ
ซึ่งฟังจากที่เขาพูดก็เป็นประโยชน์ได้โดยทำให้เรารู้เรื่องการเมืองได้มากขึ้นทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดี
และสามารถเข้าใจผู้ชายคนนี้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนที่ศึกษาและมีความรู้ทางด้านการเมืองเป็นอย่างดี
แต่สิ่งที่เขาทำไม่ถูกคือ พยายามพูดจาเดียงดัง
ขอความคิดเห็นจากผู้โดยสารคนอื่นๆที่เป็นการทำลายสมาธิของคนขับรถและรบกวนคนอื่นๆ
แต่งตัวผิดแปลกจากคนอื่นทั่วๆไป ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นคนบ้า
จนในที่สุดกระเป๋ารถเมล์ทนไม่ไหว
ไม่รู้เพราะว่าเขากลัวว่าผู้ชายคนนี้อาจจะไปพูดจาที่ไม่ถูกหูของคนอื่น
หรือว่าเป็นเพราะผู้ชายคนนี้จะไปรบกวนผู้โดยสารคนอื่นจริงๆ
ผู้ชายคนนี้จึงถูกกระเป๋ารถเมล์ลากจงจากรถ ซึ่งเป็นภาพที่สะเทืนใจฉันพอสมควรเพราะถึงแม่เราจะไม่เหมือนกันแต่ความเป็นคนก็ยังมีเหมือนกัน
หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นลงไป รถเมล์ก็เงียบสงบเหมือนเดิม
แต่สิ่งหนึ่งในใจที่ฉันที่ได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้คือ คนเราจะตัดสินคนอื่นจากแค่ภายนอกไม่ได้ เพราะต่างคนต่างก็มีแนวคิดในแบบของตัวเอง
ไม่มีใครถูกหรือผิด ไม่มีใครดีหรือบ้า
เราไม่อาจสามารถเอาความคิดของตัวเองฝ่ายเดียวมาตัดสินว่าคนที่คิดต่างจากเราหรือแต่งตัวต่างจากไปจากเรานั้นเป็นคนผิด
เป็นคนไม่ดี เป็นคนไม่ปกติ เราไม่อาจเอาความอคติของเรามาเป็นตัวตัดสิน
เพราะบางครั้งเราอาจจะคิดในมุมของเราและเอาเรื่องนั้นไปเล่าให้คนอื่นฟังเขาอาจจะคิดว่าเราไม่ปกติได้เหมือนกัน
คำพูดของผู้ชายคนนี้ไม่ได้แปลกไปจากคนปกติธรรมดาเลย
แถมบางเรื่องที่เขาพูดเขารู้จริงและกล้าที่จะพูดมันออกมา
และที่สำคัญเขารู้เรื่องได้ลึกกว่าฉันซะอีก รู้ลึกกว่าใครหลายๆคนที่อยู่บนรถเมล์
แต่ไม่มีใครเปิดใจที่จะรับฟังสิ่งที่เขาพูด
เพราะทุกคนมองเขาแค่ว่าเขาเป็นคนบ้าที่แต่งตัวบ้าๆ พูดจาไร้สาระ
แต่เรื่องที่คิดว่าไร้สาระนั้นกลับเป็นประโยชน์ทีเดียว
ฉันได้แต่ขอบคุณผู้ชายคนนั้นในใจที่เป็นบทเรียนชีวิตให้กับฉัน
“คนเราเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็มีความเป็นมนุษย์เท่ากัน
เป็นมนุษย์เหมือนกัน ถึงแม่จะทำอะไรที่ต่างกัน
แต่ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ทำความเดือนร้อนเสียหายให้กับผู้อื่นมันก็ไม่ได้ผิดอะไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น