วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แต่งตัวแปลก มันบ้าตรงไหน





            “มึงลงไปเลยนะไอ้บ้า  จะลงดีๆหรือจะให้ถีบลง”  เสียงกระเป๋ารถเมล์ดังลั่น เพราะว่ามีชายคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายกับนางรำ ใส่โจงกระเบนสีแดง  สไบสีเหลืองทอง เดินเท้าเปล่า แต่งหน้าแต่งตา ดูแล้วผิดแปลกไปจากผู้ชายธรรมดาทั่วไป  ขึ้นมาบทรถพร้อมกับวิจารณ์การเมืองอย่างโจ่งแจ้ง  ทำให้เป็นที่รบกวนต่อผู้โดยสารคนอื่น และรบกวนสมาธิคนขับรถ  พอสิ้นเสียงของกะรเป๋ารถเมล์ ผู้ชายคนนั้นก็ถูกลากลงรถในทันที พร้อมกับตะโกนต่อว่ากระเป๋ารถเมล์ว่า เห้ยยย!! ทำไมทำอย่างนี้กับกูว๊ะ  กูไม่ได้บ้านะเว่ย  กูรู้เรื่องการเมืองดีกว่ามึงอีก
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน  ฉันได้มีโอกาสนั่งรถเมล์ เพื่อไปทำธุระแถวสยาม ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงที่การเมืองค่อนข้างวุ่นวาย ฉันนั่งรถมาได้ไม่นานก็ได้มีผู้ชายดังกล่าวขึ้นมาบนรถ ตอนแรกทุกคนก็เกร็งว่าคนขับรถจะจอดรับเขามั๊ย  ถ้าขึ้นมาแล้วเขาจะนั่งที่ไหน  เขาจะทำอะไรเรารึเปล่า  แต่พอเขาขึ้นมาก็ปกติเหมือนคนทั่วไป  จนเขาเห็นป้ายเกี่ยวกับการเมือง  เขาก็เริ่มวิจารณ์ต่างๆ และพยายามจะถามความคิดเห็นจากผู้โดยสารคนอื่น  โดยเรื่องที่เขาพูดมันก็เป็นเรื่องที่ดี มีการเสนอข้อเท็จจริง เสนอความคิดเห็นของตัวเอง มีการอ้างอิงจากบุคคลและแหล่งสื่อต่างๆ ซึ่งฟังจากที่เขาพูดก็เป็นประโยชน์ได้โดยทำให้เรารู้เรื่องการเมืองได้มากขึ้นทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดี และสามารถเข้าใจผู้ชายคนนี้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนที่ศึกษาและมีความรู้ทางด้านการเมืองเป็นอย่างดี  แต่สิ่งที่เขาทำไม่ถูกคือ พยายามพูดจาเดียงดัง ขอความคิดเห็นจากผู้โดยสารคนอื่นๆที่เป็นการทำลายสมาธิของคนขับรถและรบกวนคนอื่นๆ แต่งตัวผิดแปลกจากคนอื่นทั่วๆไป ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นคนบ้า  จนในที่สุดกระเป๋ารถเมล์ทนไม่ไหว ไม่รู้เพราะว่าเขากลัวว่าผู้ชายคนนี้อาจจะไปพูดจาที่ไม่ถูกหูของคนอื่น  หรือว่าเป็นเพราะผู้ชายคนนี้จะไปรบกวนผู้โดยสารคนอื่นจริงๆ ผู้ชายคนนี้จึงถูกกระเป๋ารถเมล์ลากจงจากรถ  ซึ่งเป็นภาพที่สะเทืนใจฉันพอสมควรเพราะถึงแม่เราจะไม่เหมือนกันแต่ความเป็นคนก็ยังมีเหมือนกัน

                หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นลงไป  รถเมล์ก็เงียบสงบเหมือนเดิม  แต่สิ่งหนึ่งในใจที่ฉันที่ได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้คือ  คนเราจะตัดสินคนอื่นจากแค่ภายนอกไม่ได้  เพราะต่างคนต่างก็มีแนวคิดในแบบของตัวเอง ไม่มีใครถูกหรือผิด ไม่มีใครดีหรือบ้า  เราไม่อาจสามารถเอาความคิดของตัวเองฝ่ายเดียวมาตัดสินว่าคนที่คิดต่างจากเราหรือแต่งตัวต่างจากไปจากเรานั้นเป็นคนผิด เป็นคนไม่ดี เป็นคนไม่ปกติ  เราไม่อาจเอาความอคติของเรามาเป็นตัวตัดสิน เพราะบางครั้งเราอาจจะคิดในมุมของเราและเอาเรื่องนั้นไปเล่าให้คนอื่นฟังเขาอาจจะคิดว่าเราไม่ปกติได้เหมือนกัน  คำพูดของผู้ชายคนนี้ไม่ได้แปลกไปจากคนปกติธรรมดาเลย แถมบางเรื่องที่เขาพูดเขารู้จริงและกล้าที่จะพูดมันออกมา และที่สำคัญเขารู้เรื่องได้ลึกกว่าฉันซะอีก รู้ลึกกว่าใครหลายๆคนที่อยู่บนรถเมล์ แต่ไม่มีใครเปิดใจที่จะรับฟังสิ่งที่เขาพูด เพราะทุกคนมองเขาแค่ว่าเขาเป็นคนบ้าที่แต่งตัวบ้าๆ พูดจาไร้สาระ แต่เรื่องที่คิดว่าไร้สาระนั้นกลับเป็นประโยชน์ทีเดียว ฉันได้แต่ขอบคุณผู้ชายคนนั้นในใจที่เป็นบทเรียนชีวิตให้กับฉัน   “คนเราเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็มีความเป็นมนุษย์เท่ากัน เป็นมนุษย์เหมือนกัน ถึงแม่จะทำอะไรที่ต่างกัน แต่ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ทำความเดือนร้อนเสียหายให้กับผู้อื่นมันก็ไม่ได้ผิดอะไร